tag:blogger.com,1999:blog-19908397676837660272024-02-18T20:42:03.846-08:00ธรณีวิทยาUnknownnoreply@blogger.comBlogger2125tag:blogger.com,1999:blog-1990839767683766027.post-82220835960580319592010-01-24T08:37:00.000-08:002010-02-02T11:07:42.087-08:00บทที่ 3 ธรณีวิทยาทั่วไป<div align="left"><span style="font-size:180%;color:#cc0000;">ด้านธรณีวิทยา</span><br /><span style="color:#660000;"><span style="font-size:180%;">ธรณีวิทยาพื้นฐาน</span><br /></span>ธรณีวิทยา (Geology) เป็นวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับโลก สสารต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของโลก เช่น แร่ หิน ดินและน้ำ รวมทั้ง กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ ตั้งแต่กำเนิดโลกจนถึงปัจจุบัน เป็นการศึกษาทั้งในระดับโครงสร้าง ส่วนประกอบทางกายภาพ เคมี และชีววิทยา ทำให้รู้ถึงประวัติความเป็นมา และสภาวะแวดล้อมในอดีตจนถึงปัจจุบัน ศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายใน และภายนอกที่มีอิทธิพล ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นผิว วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ตลอดจนรูปแบบ และวิธีการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติ มาใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนอีกด้วย<br /></div><div align="left"><span style="color:#660000;"><span style="font-size:180%;">สมมติฐานกำเนิดโลกมีอยู่มากมาย แต่สามารถจัดได้เป็น 2 กลุ่มคือ</span><br /></span>1. สมมติฐานเนบูลาร์ (Nebular Hypothesis) เชื่อว่าหลายพันล้านปีที่ผ่านมาได้มีกลุ่มก๊าซ และสสารจำนวนมาก หมุนรอบดวงอาทิตย์ ที่เกิดขึ้นใหม ่ต่อมาในราว 4,600 ล้านปี กลุ่มก๊าซ และสสารดังกล่าวได้รวมตัวกันเกิดเป็นโลก และดาวเคราะห์ต่าง ๆ ที่เป้นบริวารของดวงอาทิตย์ โดยเริ่มจากกลุ่มก๊าซ และสสารได้รวมตัวกันมีขนาดเล็กลง และร้อนยิ่งขึ้นตามลำดับ จนกลายเป็นดวงไฟ ต่อมาเย็นตัวลงเกิดการแข็งตัว ในส่วนที่เป็นเปลือกโลกหุ้มส่วนที่เป็นของเหลวไว้ภายใน และมีกลุ่มก๊าซและสสารที่มีความหนาแน่นต่ำ เกิดเป็น บรรยากาศห่อหุ้มอยู่รอบโลกขึ้นก่อน ภายหลังได้เกิดกระบวนการภูเขาไฟ ขึ้นอย่างมากมาย หลังจากนั้นเมื่อโลก เย็นตัวลงมากเข้า ส่วนที่เป็นก๊าซและน้ำจะรวมตัวกันเป็นเมฆ และกลั่นเป็นฝนตกลงมา ก่อให้เกิดเป็นทะเลและมหาสมุทร พร้อมกับเกิดกระบวนการต่างๆ เช่น การเกิดภูเขาไฟ การเกิดแผ่นดินไหว การเกิดเทือกเขา การผุพังอยู่กับที่ การกร่อน เป็นต้น รวมถึงการเกิดและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิติ<br /><br /><br /></div><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 211px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430350933248096002" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_Vy9tJaBAERmY4FaJeYTJSkHAblngRvDLipX7lumIn11n4cGMcuo33MzOSJcPNI2RiLK_5o5blj2Ec3ZYmt1Rz6yubYUn6VgpgKVxCpDyUBQm8EihQCjKLKEvt0tmCcwzIeFCmhkGaOWz/s320/info2_10.jpg" /> <p align="justify"><span style="color:#660000;"><br /><span style="font-size:180%;">กำเนิดโลกจากกลุ่มก๊าซรวมตัวกัน</span></span><br />2. สมมติฐานพลาเนตติซิมัล (Planetesima; Hypothesis) ได้อธิบายว่าโลกและดาวเคราะห์ที่เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ เคยเป็นหนึ่งของดวงอาทิตย์มาก่อน ภายหลังได้หลุดออกมา เป็นดาวเคราะห์ต่าง ๆ โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์เนื่องจาก แรงดึงดูดของดาวดวงหนึ่งที่โคจรผ่านเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์นั้น<br />ธรณีวิทยาพื้นฐาน<br /><span style="font-size:180%;"></span></p><p align="justify"><span style="font-size:180%;color:#660000;">โครงสร้างภายในของโลก</span><br />จากการศึกษาคลื่นแผ่นดินไหว ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถแบ่งโลกออกเป็นชั้นต่าง ๆ จากผิวโลกถึงชั้นในสุดได้ 3 ชั้นใหญ่ ๆดังนี้<br />1 เปลือกโลก (Crust) เป็นชั้นนอกสุดมีความหนาระหว่าง 6-35 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนหนาที่สุดของเปลือกโลก เรียก เปลือกโลกส่วนบน (Upper crust) มีความหนาแน่นต่ำ ประกอบด้วยโปแตสเซียม อะลูมิเนียม และซิลิเกตเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีชื่อเรียกว่า ชั้นไซอัล (sial) ส่วนบางที่สุดเรียกเปลือกโลก ส่วนล่าง (Lower crust) มีความหนาแน่นมากกว่าส่วนบน ประกอบด้วยแมกนีเซียม เหล็ก แคลเซียม และซิลิเกตเป็นส่วนใหญ่ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ชั้นไซมา (Sima) ส่วนของเปลือกโลกภาคพื้นทวีปประกอบด้วยชั้นไซอัลและไซมา ทำให้มีความหนามากกว่าส่วนที่อยู่ใต้มหาสมุทร ซึ่งระกอบด้วยชั้นไซมาเท่านั้น<br />2 แมนเทิล (Mantle) เป็นชั้นที่อยู่ระหว่างเปลือกโลกกับแก่นโลก มีความหนาประมาณ 2,885 กิโลเมตร มีส่วนประกอบของแมกนีเซียมและเหล็กเป็นส่วนใหญ่ แมนเทิลเกือบทั้งหมดเป็นของแข็ง ยกเว้นที่ความลึกประมาณ 70-260 กิโลเมตรหรือที่เรียกว่า ชั้นแอสทีโนสเฟียร์ (Asthenosphere) ในชั้นนี้มีการหลอมละลายของหินเป็นบางส่วน<br />3 แก่นโลก (Core) เป็นส่วนชั้นในสุดของโลกที่มีความหนาแน่นมาก มีรัศมียาวประมาณ 3,486 กิโลเมตร ประกอบด้วยโลหะผสมระหว่างเหล็กและนิกเกิล และแบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ แก่นโลกชั้นนอก (outer core) ซึ่งมีความหนาแน่นมากกว่าหินทั่วไปถึง 5 เท่า (ความถ่วงจำเพาะมากกว่า 17) และมีความร้อนสูงถึง 4,000 องศาเซลเซียส </p><div align="left"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 174px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430351897538506434" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjp9glsMPYUwXlXRtI0-4n-7fDou1VAnbFw89bPEmVUZCdFAg65gRXE2IOczcaxfeWalK_xL9CacBB5U_PFnQp3gxjnPtKftg1ZfDL8VcXfiMcDv7uUnS0EGthCybvh9hHGOdJNJyoreuRv/s320/info2_11.jpg" /><br /><br /><p><span style="color:#990000;"><span style="font-size:180%;">การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก</span><br /></span>โลกเป็นดาวเคราะห์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั้งส่วน ที่เป็นบรรยากาศห่อหุ้มโลกและส่วนที่ประกอบอยู่ภายในของโลก อันเป็นผลมาจากอิทธิพลของการหมุนของโลกรอบดวงอาทิตย์ และรอบตัวเอง รวมไปถึงการที่โลกยังร้อนอยู่ภายในมีทฤษฎีหลายทฤษฎี ที่อธิบายถึงการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก<br /><span style="font-size:130%;">ทฤษฎีวงจรการพาความร้อน (</span>Convection current theory)<br />กล่าวไว้ว่าการหมุนเวียนของกระแสความร้อนภายในโลก มีลักษณะเช่นเดียวกับการเดือดของน้ำในแก้ว กล่าวคือโลกส่งผ่านความร้อนจากแก่นโลกขึ้นมาสู่ชั้นแมนเทิล ซึ่งมีลักษณะเป็นของไหลที่มีสถานะกึ่งแข็งกึ่งเหลว และผลักดันให้สารในชั้นนี้หมุนเวียนจากส่วนล่างขึ้นไปสู่ส่วนบนส่งผลให้เปลือกโลกซึ่งเป็นของแข็งปิดทับอยู่บนสุดเกิดการแตกเป็นแผ่น (Plate) และเคลื่อนที่ในลักษณะเข้าหากัน แยกออกจากกัน และไถลตัวขนานออกจากกัน<br /></p><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 277px; DISPLAY: block; HEIGHT: 207px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430352123019546674" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjnl409HNB-PymcM6s33Bb1jrfncQyOhyYXwqEoL9b3AronlMy-DWBVu7TOBjF1TQWY1o_skShWpoS-Zjl7kZWbbx8Q8PBWSzitRyUsI1vF9WceuQBJjpWtYTYGsz528tEDsifF_1R2qwX3/s320/info2_12.jpg" /> การไหลเวียนของกระแสความร้อนภายในโลก<br /><br /><span style="font-size:130%;color:#990000;">ทฤษฎีทวีปเลื่อน(Continental Drift Theorly)</span><br />ในปี ค.ศ.1915 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ alfred Wegenerได้เสนอสมมติฐานทวีปเลื่อนขึ้น และได้รับการยอมรับในปี ค.ศ.1940 สมมติฐานกล่าวไว้ว่า เมื่อราว 250 ล้านปีก่อน ทวีปต่าง ๆ เคยติดกันเป็นทวีปขนาดใหญ่เรียกว่า พันเจีย (Pangea) ต่อมามีการเคลื่อนตัวแยกออกจากกัน จนมาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน หลักฐานที่เชื่อว่าแผ่นทวีปเคลื่อนที่นี้คือ ในปัจจุบันได้พบชนิดหิน ที่เกิดในสภาวะแวดล้อมเดียวกันแต่อยู่คนละทวีปซึ่งห่างไกลกันมากหินอายุเดียวกัน ที่อยู่ต่างทวีปกันมีรูปแบบสนามแม่เหล็กโลกโบราณคล้ายคลึงกัน และขอบของทวีปสามารถเชื่อมตัวประสานแนบสนิทเข้าด้วยกันได้<br /><div align="justify"><br /><span style="color:#660000;"><span style="font-size:130%;">ทฤษฎีเปลือกโลกใต้มหาสมุทรแยกตัว (Sea Floor Spreading Theory)</span><br /></span>จากปรากฎการณ์การแตกตัวและแยกออกจากกันของแผ่นเปลือกโลกภาคพื้นทวีปและใต้มหาสมุทรสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหว การเกิดหมู่เกาะภูเขาไฟ การเกิดแนวเทือกเขากลางมหาสมุทร การขยายตัว และการเกิดใหม่ของมหาสมุทร ทำให้เกิดสมมติฐานและกลายเป็นทฤษฎีนี้ขึ้นเพื่ออธิบายปรากฎการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นและการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกต่าง ๆ </div><div align="justify"><br /></div><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 238px; DISPLAY: block; HEIGHT: 130px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430352499837095154" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjN4w2bl9y2ighgXpiLORuswPaeQLFaKvRdtxp8_TRr8Z-anLcIpi_i88tn18GqfSkCv2JU78OkBfBTT8vKa0lxJVQq5uF-VReUuD6xUn8Y7DtaH3xJ68or58Tktu30DJp08LmwXjHvtTCi/s320/info2_13.jpg" /> ขอบเขตและการกระจายตัวของแผ่นเปลือกโลก<br /><br /><span style="color:#990000;"><span style="font-size:130%;">ทฤษฎีการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก(plate Tectonic Theory)</span><br /></span>เกิดจากการนำทฤษฎีทวีปเลื่อนและทวีปแยกมารวมกันตั้งเป็นทฤษฎีใหม่ขึ้นมาโดยกล่าวไว้ว่าเปลือกโลกทั้งหมดแบ่งออกเป็นแผ่นที่สำคัญ จำนวน 13 แผ่น โดยแต่ละแผ่นจะมีขอบเขตเฉพาะได้แก่ แผ่นอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยูเรเซีย แอฟริกา อินเดีย แปซิฟิก แอนตาร์กติก ฟิลิปปินส์ อาหรับ สกอเทีย โกโก้ แคริเบียน และนาซก้าแผ่นเปลือกโลกทั้งหมดไม่หยุดหนิ่งอยู่กับที่จะมีการเ เคลื่อนที่ตลอดเวลาใน 3 แบบ ได้แก่การเคลื่อนที่เข้าหากัน แยกออกจากกัน และไถลตัวขนานออกจากกันซึ่งผลของการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกทำให้เกิดปรากฎการณ์ต่าง ๆ ขึ้น เช่น แผ่นดินไหว เทีอกเขา ภูเขาไฟ และกระบวนการเกิดแร่และหิน<br />ลักษณะการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก </div><div align="center"><br /></div><div align="center"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 228px; DISPLAY: block; HEIGHT: 111px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430352859365753330" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh6TZTV5I54Zv83ajW4u5oQpquDfFm7MF75wtqvpz97Q6DNSu5C8iHxTRC_wcaP8BNvilcgzeZSRbPkL1ydPxgMwzYU6NTcCBWvOVvSuWItko7uKTxBBDxieBXN3dhRoHusapR9gaFxZPQd/s320/info2_14.jpg" /><br />แผ่นเปลือกโลกใต้เคลื่อนที่เข้าหากัน <img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 276px; DISPLAY: block; HEIGHT: 108px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430353412832046882" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhy5bSn9VA3-ufqC9_tNmzl6T7Ucl9H2Rhbo5R1iBjvw-a9kIYNwlbql-Nb0D5VDwl44D5-D-1tfiPbdkKI-2Lu-F8jdbygzWzVNfKIRAjqDYjzF8sRVZeDU8ZJ1IatNcaNrt26X-FOA2oQ/s320/info2_16.jpg" /><br />แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่แยกตัวออกจากกันและเข้าหากัน <img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 178px; DISPLAY: block; HEIGHT: 126px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430352957945490066" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKaY7Tw2ElRzph_Ufy0_47SFDSghq_Qb8kyaj1Cu8hhcLQ6j80RPJAp2kMz0tL22DhfdU0J9WavMQHCMy65tTJxVjlDTpJKb6QXMUK6E3LKw8X1ie4IGTrR93fBh0XJjnzVV76LMef9ovh/s320/info2_15.jpg" /><br />แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่เข้าหากัน <img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 179px; DISPLAY: block; HEIGHT: 125px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430353583258055266" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEilEpRWV5DmXtNHaD3mUHqDAKkkx4d5tXulxQ-adl3e8VL3zlrJRKaRy3Oik063l5rpklAJzyIEbo0Xc9CZxePp-McGPcGGqiiLhSv3nDPTdjzDvVCXvCCGIN6Ex8EVTZjl39rjbsMiKz7E/s320/info2_17.jpg" /><br />แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ไถลตัวขนานแยกออกจากกัน<br /></div><div align="justify"><span style="font-size:180%;color:#660000;">การเดินทางของอนุทวีปไทย</span><br /><br />เมื่อ465ล้านปีก่อนดินแดนประเทศไทยยัง แยกตัวอยู่ใน 2 อนุทวีปฉานไทย(ส่วนของภาคเหนือลงไปถึงภาคตะวันออกและภาคใต้) และอนุทวีปอินโดจีน (ส่วนของภาคอิสาน) อนุทวีปทั้งสองขณะนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของผืนดินกานด์วานา (ดัดแปลงจาก Burrett et al,1990,Metcafe,1997)<br />ต่อมาประมาณ 400-300 ล้านปีก่อนดินแดนประเทศไทยทั้งส่วนอนุทวีปฉานไทยและอนุทวีปอินโดจีน ได้เคลื่อนที่แยกตัวออกจากผืนแผ่นดินกอนด์วานา แล้วหมุนตัวตามเข็มนาฬิกาขึ้นไปทางเหนือ (ดัดแปลงจากBunopas,1981,Burrett,1990,Metcafe,1997)<br />เมื่อประมาณ 220 ล้านปีก่อนอนุทวีปฉานไทยได้ชนกับอนุทวีปอินโดจีนรวมกันเป็นอนุทวีปที่เป็นปัจจุบันเรียกว่าคาบสมุทรมลายูแล้วไปรวมกับจีนตอนใต้รวมกันเป็นส่วนหนึ่งของทวีปเอเชีย (ดัดแปลงจาก Bunopas,1981,Meteafe,1997) จากนั้นประเทศไทยในคาบสมุทรมลายูได้เคลื่อนที่ มาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน<br /><br /></div><div align="left"><span style="font-size:180%;"><span style="color:#660000;">หินและวัฏจักรของหิน</span> </span></div><span style="font-size:180%;"><div align="center"><br /></div><p><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 139px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430354806700095778" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibLvsG_TGGs8RNHPbqu5jOyuhdv1EvloIm3HdUV3tOuxLwS7-TQzODwuecT28uymrNO5MktAfPICDNpESbq1ZxLqLhEsHvfPldyxXRonv5x0oTj9HW3QiVeL9GkhfHfG3YS9YZCibY6yiX/s320/info2_22.jpg" /> </span>กระบวนการแทรกดันของหินหนืด แล้วเย็นตัวลงได้เป็นหินอัคนี เมื่อเกิดกระบวนการผุพังทำลายพาไปทับถมได้เป็นหินชั้น และเมื่อผ่านกระบวนการของความร้อนและความดันจะกลายเป็นหินแปร<br /><br /><span style="font-size:180%;color:#660000;">หิน (Rock)</span> </p><p>หมายถึง มวลของแข็งที่ประกอบขึ้นด้วยแร่ชนิดเดียวกันหรือหลายชนิดรวมตัวกันอยู่ตามธรรมชาติ แบ่งตามลักษณะการเกิดได้ 3 ชนิดใหญ่<br /><span style="font-size:130%;">1. หินอัคนี (Igneous Rock)</span><br />เกิดจากหินหนืดที่อยู่ใต้เปลือกโลกแทรกดันขึ้นมาแล้วตกผลึกเป็นแร่ต่างๆ และเย็นตัวลงจับตัวแน่นเป็นหินที่ผิวโลก แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ<br />1.1)หินอัคนีแทรกซอน (Intrusive Igneous Rock) เกิดจากการเย็นตัวลงอย่างช้า ๆ ของหินหนืดใต้เปลือกโลก มีผลึกแร่ขนาดใหญ่ (>1 มิลลิเมตร) เช่นหินแกรนิต (Granite) หินไดออไรต์ (Diorite) หินแกบโบร (Gabbro)<br />1.2)หินอัคนีพุ (Extruisive Igneous Rock) หรือหินภูเขาไฟ (Volcanic Rock) เกิดจากการเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วของหินหนืดที่ดันตัวพุออกมานอกผิวโลกเป็นลาวา (Lava) ผลึกแร่มีขนาดเล็กหรือไม่เกิดผลึกเลยเช่น หินบะซอลต์ (Basalt) หินแอนดีไซต์ (Andesite) หินไรโอไลต์ (Rhyolite)<br /><br /><br /><span style="font-size:130%;">2. หินชั้นหรือหินตะกอน (Sedimentary Rock)</span><br />เกิดจากการทับถม และสะสมตัวของตะกอนต่างๆ ได้แก่ เศษหิน แร่ กรวด ทราย ดินที่ผุพังหรือสึกกร่อนถูกชะละลายมาจากหินเดิม โดยตัวการธรรมชาติ คือ ธารน้ำ ลม ธารน้ำแข็งหรือคลื่นในทะเล พัดพาไปทับถมและแข็งตัวเป็นหินในแอ่งสะสมตัวหินชนิดนี้แบ่งตามลักษณะเนื้อหินได้ 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ<br />2.1)หินชั้นเนื้อประสม (Clastic Sedimentary Rock) เป็นหินชั้นที่เนื้อเดิมของตะกอน พวกกรวด ทราย เศษหินและดิน ยังคงสภาพอยู่ให้พิสูจน์ได้ เช่น หินทราย (Sandstone) หินดินดาน (Shale) หินกรวดมน (Conglomerate) เป็นต้น<br />2.2)หินเนื้อประสาน (Nonclastic Sedimentary Rock) เป็นหินที่เกิดจากการตกผลึกทางเคมี หรือจากสิ่งมีชีวิต มีเนื้อประสานกันแน่นไม่สามารถพิสูจน์สภาพเดิมได้ เช่น หินปูน (Limestone) หินเชิร์ต (Chert) เกลือหิน (Rock Salte) ถ่านหิน (Coal) เป็นต้น<br /><span style="font-size:130%;">3. หินแปร (Metamorphic Rock)</span><br />เกิดจากการแปรสภาพโดยการกระทำของความร้อน ความดันและปฏิกิริยาทางเคมี ทำให้เนื้อหิน แร่ประกอบหินและโครงสร้างเปลี่ยนไปจากเดิม การแปรสภาพของหินจะอยู่ในสถานะของของแข็ง ซึ่งจัดแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ<br />3.1)การแปรสภาพบริเวณไพศาล (Regional metamorphism) เกิดเป็นบริเวณกว้างโดยมีความร้อนและความดันทำให้เกิดแร่ใหม่หรือผลึกใหม่เกิดขึ้น มีการจัดเรียงตัวของแร่ใหม่ และแสดงริ้วขนาน (Foliation) อันเนื่องมาจากแร่เดิมถูกบีบอัดจนเรียงตัวเป็นแนวหรือแถบขนานกัน เช่น หินไนส์ (Gneiss) หินชีสต์ (Schist) และหินชนวน (Slate) เป็นต้น<br />3.2)การแปรสภาพสัมผัส (Contact metamorphism) เกิดจากการแปรสภาพโดยความร้อนและปฏิกิริยาทางเคมีของสารละลายที่ขึ้นมากับหินหนืดมาสัมผัสกับหินท้องที่ ไม่มีอิทธิพลของความดันมากนัก ปฏิกิริยาทางเคมีอาจทำให้ได้แร่ใหม่บางส่วนหรือเกิดแร่ใหม่แทนที่แร่ในหินเดิม หินแปรที่เกิดขึ้นจะมีการจัดเรียงตัวของแร่ใหม่ ไม่แสดงริ้วขนาน (Nonfoliation) เช่น หินอ่อน (Marble) หินควอตไซต์ (Quartzite)<br /><br /><span style="font-size:180%;color:#660000;">วัฏจักรของหิน</span><br /></p><p><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 265px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430355614953082802" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5dgsKnVI9Vc2cPN_Do2CLJSZkzf0Fq7sNmoztuxmnCnfCIGWjMejcIvd3YUHrfNUkhquo4skEVKJ2dSEy_j-Lk-6hNHg8P8VIuMkmmx-RHg8ViJW8FJsJamUisijj3_gxv5fWTs5Na187/s320/info2_33.jpg" /><br />วัฏจักรของหิน (Rock cycle) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของหินทั้ง 3 ชนิด จากหินชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งหรืออาจเปลี่ยนกลับไปเป็นหินชนิดเดิมอีกก็ได้ กล่าวคือ เมื่อ หินหนืด เย็นตัวลงจะตกผลึกได้เป็น หินอัคนี เมื่อหินอัคนีผ่านกระบวนการผุพังอยู่กับที่และการกร่อนจนกลายเป็นตะกอนมีกระแสน้ำ ลม ธารน้ำแข็ง หรือคลื่นในทะเล พัดพาไปสะสมตัวและเกิดการแข็งตัวกลายเป็นหิน อันเนื่องมาจากแรงบีบอัดหรือมีสารละลายเข้าไปประสานตะกอนเกิดเป็น หินชั้นขึ้น เมื่อหินชั้นได้รับความร้อนและแรงกดอัดสูงจะเกิดการแปรสภาพกลายเป็นหินแปร และหินแปรเมื่อได้รับความร้อนสูงมากจนหลอมละลาย ก็จะกลายสภาพเป็นหินหนืด ซึ่งเมื่อเย็นตัวลงก็จะตกผลึกเป็นหินอัคนีอีกครั้งหนึ่งวนเวียนเช่นนี้เรื่อยไปเป็นวัฏจักรของหิน กระบวนการเหล่านี้อาจข้ามขั้นตอนดังกล่าวได้ เช่น จากหินอัคนีไปเป็นหินแปร หรือจากหินแปรไปเป็นหินชั้น<br /><br /><span style="color:#660000;"><span style="font-size:180%;">ดิน </span><br /></span><br />ดิน (Soil) หมายถึง วัตถุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการสลายตัวทางกายภาพ และทางเคมีของหินและแร่ รวมกับสารอินทรีย์ ที่เกิดจากการสลายตัวของซากพืชซากสัตว์เป็นผิวชั้นบนที่หุ้มห่อโลก ดินมีลักษณะและคุณสมบัติต่างกันไปในที่ต่างๆ ตามสภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ วัตถุต้นกำเนิด สิ่งมีชีวิตและระยะเวลาการสร้างตัวของดิน<br /><br /><br /><br /><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 153px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430356551499609058" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg57vFcSPfNLJg9tv50PUwkK1kcb2MbWtf2qSBX-WO_klIYeCFohP0mJXpNAdwdiPdFascZ0-mwjXoo8mmxzHG5378tr7DCqFnQr71URbzFYpQYR40XhhUjTn7AnxJ8qDnq4VMiLk7gTsBM/s320/info2_34.jpg" /> กระบวนการกำเนิดดิน จากหินและแร่ที่เกิดการผุพังรวมกับสารอินทรีย์กลายเป็นดิน<br /></p><p>องค์ประกอบของดิน ดินมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 อย่างคือ สารอินทรีย์ สารอนินทรีย์ อากาศ และน้ำสารอินทรีย์ ได้จากการสลายตัวของสิ่งมีชีวิตที่เน่าเปื่อยผุพังสลายตัวทับถมอยู่ในดินของซากพืช ซากสัตว์ และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น ไส้เดือน แมลง จุลินทรีย์ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ช่วยให้ดินมีลักษณะร่วนซุย มีสีดำหรือสีน้ำตาล ที่เรียกว่า ฮิวมัส (Humus)<br />สารอนินทรีย์ ได้จากการสลายตัวของหินและแร่ อนินทรีย์สารเหล่านี้ประกอบด้วยธาตุซิลิกอน และอะลูมีเนียมเป็นส่วนใหญ่ มีเหล็ก แคลเซียม โพแทสเซีย มและแมกนีเซียม ปนบ้างเล็กน้อย ธาตุเหล่านี้พบอยู่ในรูปแร่ควอตซ์ เฟลด์สปาร์ ไมกา แร่พวกเฟอร์โรแมกนีเซียนซิลิเกตและแร่ดิน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของดิน ดินแต่ละที่จะมีแร่ธาตุในดินในปริมาณแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุต้นกำเนิดเดิมของดิน<br />อากาศ แทรกอยู่ตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน มีก๊าซคาร์บอนมอนไดออกไซด์ สูงกว่าอากาศบนผิวดิน ดินที่โปร่งมีรูพรุนมาก จะมีการระบายอากาศได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น ่ต่อการหายใจ ของสิ่งมีชีวิตในดิน<br />น้ำ แทรกอยู่ตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน น้ำในดินจะช่วยละลายแร่ธาตุต่าง ๆ ทำให้รากพืชสามารถดูดธาตุอาหารขึ้นไปใช้ประโยชน์ในการสังเคราะห์แสงได้<br />ชั้นของดิน การแบ่งชั้นดินอาศัยการสังเกตจากพื้นที่หน้าตัดด้านข้างของดิน โดยแบ่งออกเป็น 5 ชั้น ได้แก่ ชั้นโอ ชั้นเอ ชั้นบี ชั้นซี และชั้นอาร์ ดังภาพประกอบ ดินแต่ละชั้นมีลักษณะแตกต่างกันเนื่องจากสมบัติทางกายภาพ เคมี ชีวภาพ และลักษณะอื่นๆ เช่นสี โครงสร้าง เนื้อดิน การยึดตัว และความเป็นกรดเป็นด่างของดินแตกต่างกัน<br />ชั้น โอ (O-horizon) เป็นช่วงชั้นดินที่มีสารอินทรีย์สะสมตัวอยู่มาก มักมีสีเทาหรือเทาดำ<br />ชั้น เอ (A-horizon) เป็นเขตการซึมชะ (Zone of Leaching) เป็นชั้นที่น้ำซึมผ่านจากชั้นบน แล้วทำปฏิกิริยากับแร่ บางชนิด เกิดการสลายตัวของแร่ สารละลายที่ได้จะซึมผ่านลงไปสะสม ตัวในชั้นต่อไปทำให้ดินชั้นนี้ มีสีจาง<br />ชั้น บี (B-horizon) เป็นเขตการ สะสมของแร่ในชั้นดิน ( Zone of Accumulation ) เป็นชั้นที่มีการตกตะกอน และสะสมตัวของแร ่จากสาร ละลายที่ไหลลงมาจากชั้น เอ ชั้นดิน มักมีสีแดง หรือน้ำตาลแดงตามสีแร่ที่มาสะสมตัวอยู่<br />ชั้น ซี (C-horizon) เป็นชั้นหินผุ (Weathered rock) ที่หินบางส่วนผุพัง กลายเป็นดินปะปนกับเศษหิน ที่แตกหัก มาจากชั้นหินดานเดิม<br />ชั้น อาร์ (R-horizon) เป็นชั้นหินดาน ที่ชั้นหินเดิม ยังไม่มีการผุพังสลายตัว เป็นดิน<br /><br /><br /><span style="font-size:180%;color:#660000;">การศึกษาและวิจัยธรณีวิทยา</span><br />เป็นการวิจัยธรณีวิทยาระดับสูง เพื่อแก้ไขปัญหาของการทำแผนที่ธรณีวิทยาพื้นฐานและธรณีวิทยาประยุกต์ ให้ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น การกำเนิดของ หิน ดิน แร่ น้ำบาดาล ศึกษาธรณีวิทยาโครงสร้าง ลำดับชั้นหิน และการตกตะกอนด้วยเทคนิคด้านแสง ทาง เคมี ทางฟิสิกส์ ทางสนามแม่เหล็กโบราณ ศึกษาการเกิดของหินอัคนี และหินแปร การกำเนิดของแหล่งแร่ที่สัมพันธ์กับลักษณะธรณีวิทยาโดยการ ศึกษาของไหลที่กักเก็บภายในผลึกแร่ (Fluid Inclusion) ผลของการวิจัยนอกจากจะใช้ในการสนับสนุน และแก้ไขปัญหาทางธรณีวิทยา เพื่อให้การทำ แผนที่ธรณีวิทยารากฐานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ความรู้และข้อมูลการวิจัยทางธรณีวิทยา ยังได้รับการเผยแพร่ ให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานด้านต่าง ๆ และการพัฒนาทรัพยากรธรณี ได้อย่างมีประสิทธิผล ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชน ดีขึ้นต่อไป<br /><br /><br /></p><br /><br /><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; DISPLAY: block; HEIGHT: 180px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430349220276674450" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgCAH5-Y9E0QnFemTW5yp4sb1bTCRPFM7ea9mzJX2EzGZkkWab-x1hkjf3Vs8FdJvx7_bXn7Z_W0A9FrdOetRCZq58LlBv2jkF6sd5APbwTADBT70C4cjmBcLFFz9QmXn7_q3Q0oKjram2s/s320/info2_1.jpg" /> กล้องจุลทรรศน์ใช้ศึกษาลักษณะของแร่<br /><br /><br /><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; DISPLAY: block; HEIGHT: 180px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430349383875809266" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQZ1QUm1TjgEVe1TraB3ojgtx3awY8V4ge4xHLoGZRkMUXFSMNtbWeNBvH_CgoRTnB3Lx0bnsobSEInDnx1wXRbr6yqXTxmTmjVgN6j3yQ-64G_FqWt4FybmnGahmE3sJnm_IQ52bW3aIv/s320/info2_2.jpg" /> เครื่องมือศึกษาวิจัยของไหลกักเก็บภายในแร่เพื่อศึกษาอุณหภูมิและความดันขณะสะสมตัวของแหล่งแร่<br /><br /><br /><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; DISPLAY: block; HEIGHT: 180px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430349526041765234" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiG7bqtCfdx8K2ZrlMUtE6CXd3w3JM0DktaIvZzjWCT6_tN3G3_KjZkrlGPUnw61Nn6sPkwaFfMEMRIQw7poPnrJXQ9_k_0z36EWst0GuLs5Fpx3jfXZV6ShlasOOTV-KdkQnM8BHKDldcy/s320/info2_3.jpg" /> เครื่องมือวัดความเข้มของสนามแม่เหล็กในหินชนิดหมุน<br /><br /><span style="font-size:180%;color:#660000;">การศึกษาและวิจัยแหล่งหิน<br /></span>ดำเนินการสำรวจธรณีวิทยาบริเวณแหล่งหินประดับ และหินอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ตรวจสอบคุณภาพหิน ลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยา การแผ่กระจาย เพื่อจัดทำแผนที่ศักยภาพ และ กำหนดแหล่งหินอุตสาหกรรม เพื่อเป็นการนำทรัพยากรหินอุตสาหกรรมไปใช้อย่างเหมาะสม คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด ในการน ี้มีกิจกรรมด้านหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และอุตสาหกรรมเคมี กิจกรรมด้านหินอุตสาหกรรม เพื่อ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และกิจกรรมด้านหินอ่อนและหินประดับ<br /><br /><br /><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; DISPLAY: block; HEIGHT: 180px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430349850758518882" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKSiomMI2m-PMYlsGRvOB1URPoFYkLeeVgSPKbwGBDkqyBAPhBudqV3QZaMQjZmdOOh_tE6cGQ9hMUjDi9Bl8Nyz5OtfFxieySw6iEKXEWziopCpoKPM9BFagX_fQxzRePTXz12F78vZCV/s320/info2_4.jpg" /> การศึกษาสำรวจหินปูนในภาคสนาม เขาผาชัน อ.คลองหาด จ. สระแก้ว<br /><br />เป็นการสำรวจ ศึกษา ตรวจสอบ วิเคราะห์วิจัยซากดึกดำบรรพ์ทุกชนิดเพื่อการกำหนดอายุชั้นหิน การลำดับชั้นหิน หรือเพื่อนำผลของการศึกษาวิจัยไปใช้ประโยชน์ในงานธรณีวิทยาสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซากดึกดำบรรพ ์ที่ดำเนินการวิจัยเช่น ซากปลา ซากฟอแรม ซากเรณู สปอร์ ซากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก ซากไดโนเสาร์ และสัตว์ร่วมสมัย นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่ข้อมูล ด้านโบราณชีววิทยาในรูปของการจัดทำพิพิธภัณฑ์ ร่วมกับการวิจัย เช่น พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ที่จังหวัดขอนแก่น และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติภูกุ้มข้าว จังหวัดกาฬสินธุ์<br /><br /><br /><p><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; DISPLAY: block; HEIGHT: 180px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430350044068567586" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXYzAgM7xUrzv9oM7Bcw-RfQKWL4ojIWRbZuXVDR3zHb-Xub82A7BtITk2QH54th875nv_lFwSh3oGE-s6Wq9-lPMc_qJe-u_CKKkgpEAWiPdgxCICmG_-_JBR7G-9AA50Po8DrZCzLTvN/s320/info2_7.jpg" /> ซากปลา Parambasis paleosiamensis ตระกูลปลาแป้นแก้ว ปลาน้ำจืด จ. เพชรบูรณ์<br /><br /><br /><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; DISPLAY: block; HEIGHT: 180px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430350243948807266" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpKhyphenhyphenTC64DMhPoO2wxezK0q1TqRk3si1hqLmvOY3aEuGBoqpfhLU4dSHCkQWttkmBNMO7V97wuke6HmPLsUzMo0VF1XQH6TKRP8_ZwLKLZL3-Ua7fbCwb9TcCQIifSTa6XEq0fMPAZILYv/s320/info2_9.jpg" /> ซากไดโนเสาร์ที่ภูกุ้มข้าว อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์<br /><br /><span style="font-size:180%;"></span><br /><br /><br /><br /><span style="font-size:180%;">อายุทางธรณีและวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิต</span> </p><p><br /></p><table class="text_normal" border="0" cellspacing="0" cellpadding="0" width="650" align="center"><tbody><tr><td><p><span style="font-family:Tahoma;font-size:85%;"></span></p></td></tr><tr><td><img style="WIDTH: 491px; HEIGHT: 76px" src="http://www.dmr.go.th/images/info/info2_36.jpg" width="516" height="75" /></td></tr><tr><td><img style="WIDTH: 490px; HEIGHT: 86px" src="http://www.dmr.go.th/images/info/info2_37.jpg" width="494" height="85" /></td></tr><tr><td><img src="http://www.dmr.go.th/images/info/info2_38.jpg" width="491" height="80" /></td></tr><tr><td><img style="WIDTH: 491px; HEIGHT: 77px" src="http://www.dmr.go.th/images/info/info2_39.jpg" width="489" height="77" /></td></tr><tr><td><img src="http://www.dmr.go.th/images/info/info2_40.jpg" width="490" height="77" /></td></tr><tr><td><img src="http://www.dmr.go.th/images/info/info2_41.jpg" width="490" height="77" /></td></tr><tr><td><img src="http://www.dmr.go.th/images/info/info2_42.jpg" width="489" height="78" /></td></tr><tr><td><img src="http://www.dmr.go.th/images/info/info2_43.jpg" width="488" height="77" /></td></tr><tr><td><img src="http://www.dmr.go.th/images/info/info2_44.jpg" width="488" height="75" /></td></tr><tr><td><img style="WIDTH: 488px; HEIGHT: 82px" src="http://www.dmr.go.th/images/info/info2_45.jpg" width="486" height="82" /></td></tr></tbody></table><br /><br />อ้างอิงจาก <a href="http://www.dmr.go.th/ewt_news.php?nid=6761">http://www.dmr.go.th/ewt_news.php?nid=6761</a>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1990839767683766027.post-32244124416400584652010-01-24T07:32:00.000-08:002010-02-02T11:18:13.706-08:00บทที่ 4 ธรณีวิทยาประเทศไทย<div align="justify"><span style="font-size:180%;">ธรณีวิทยาประเทศไทย</span><br />ประเทศไทยประกอบไปด้วยแผ่นเปลือกดินขนาดเล็ก ซึ่งเป็น แนวตะเข็บที่เชื่อมต่อกัน 2 แผ่น คือ แผ่นเปลือกโลกชาน-ไทย อยู่ทางทิศตะวันตก พื้นที่ครอบคลุมบริเวณ บริเวณภาคเหนือ ตะวันตก – ภาคใต้ของประเทศไทย รองรับด้วยหินตั้งแต่มหายุคพรีแคมเบรียน มหายุคพาลีโอโซอิก มหายุคมีโซโซอิก และมหายุคซีโนโซอิกเป็นส่วนใหญ่ แผ่นเปลือกโลกอินโดจีน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก พื้นที่ครอบคลุมบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ – ภาคตะวันออกของประเทศไทย รองรับด้วยหินมหายุคพาลีโอโซอิกมหายุคมีโซโซอิก และมหายุคซีโนโซอิกเป็นส่วนใหญ่ หินต่าง ๆ ที่รองรับพื้นที่ประเทศไทยตั้งแต่มหายุคพรีแคมเบรียนถึงตะกอนยุคควอเทอร์นารี มีการแผ่กระจายดังนี้ -หินมหายุคพลีแคมเบรียน -หินมหายุคพาลีโอโซอิกตอนล่าง -หินมหายุคพาลีโอโซอิกตอนบน -หินมหายุคมีโซโซอิก -หินมหายุคซีโนโซอิก -หินยุคควอเทอร์นารี</div><div align="justify"> </div><div align="justify"></div><div align="justify"></div><div align="justify"><br /></div><p align="justify"><span style="font-size:180%;"></span></p><p align="justify"><span style="font-size:180%;">ประเภทของหิน<br /></span>การศึกษาเรื่องหินได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 สาขาที่สำคัญ คือการศึกษาเชิงธรณีวิทยา เพื่อให้รู้ถึงลักษณะการเกิด ประวัติ ความเป็นมาของหินการศึกษาเชิงวิศวกรรม เพื่อให้รู้ถึงคุณสมบัติของหินเพื่อจะนำไปใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ โดยทั่วไปการจำแนกประเภทหินแบ่งตามได้ ดังนี้ - หินอัคนี (Igneous Rock) - หินตะกอน (Sedimentary Rock) - หินแปร (Metamorphic Rock)</p><div align="justify"><br /><br /><br /></div><p align="justify"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 163px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430339762858391058" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXqLSp_PKSFHLW7KH1c7zoAGGBLBuKOqLl2RJ45nJzprWKPAdCHwHZDSORjioNtKdTgZwSJK9MYoD1SWkh4n_gYPNbHfTLlJvfUJUImZQscE7fLyej9vXDLJs0b4iS2MDfM0O9Pl-QJzb0/s320/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99.gif" /><br /><span style="font-size:180%;">วัฏจักรของหิน</span></p><div align="justify">วัฏจักรของหินจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความดัน การผุพัง และการกัดกร่อน แร่ธาตุต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบจะไม่ถูกทำลาย แต่จะวนเวียนกลับมาเป็นส่วนประกอบของหินที่เกิดขึ้นใหม่</div><div align="justify"></div><div align="justify"></div><p><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 286px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430340223420053602" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhPYScoHULdkPT-Q6b7cu0yx0zL41eSqcPOcbfpSeoWPEVlmOY599ysRBE0LiKksK8yaa-Elqkeptn6uW8IlkEzcAdRDokPCRfNDmiHMx9JTJcasT2Oku6hpVdih_rvY1ijci65g51J_wJ8/s320/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8F%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99.gif" /><br /><br /><span style="font-size:180%;">หินอัคนี <strong>(Igneous rock)</strong></span><br /><br />กระบวนการเกิด : (Igneous Process) หินอัคนีเกิดจากการเย็นตัวของหินหนืดหรือลาวา ซึ่งจะเย็นตัวลงแล้วตก ผลึกหินหนืดที่แข็งตัวให้เปลือกโลกในระดับที่สึกจะเป็นหินพลูโทนิค (Plutonic Rock) หรือเรียกว่าหินอัคนีระดับลึก จะมีเม็ดแร่ขนาดใหญ่ ลาวาหรือหินหนืดบางส่วนที่เกิดจากการประทุของภูเขาไฟ เมื่อเย็นตัวลงบนพื้นโลกก็จะเกิดเป็นหินภูเขาไฟ (Volcanic Rock) จะมีเม็ดแร่ขนาดเล็กละเอียดในกรณีที่หินหนืดมีการแทรกซอนเข้าใกล้ผิวโลกแล้วเย็นตัวลงจะทำให้เกิดหินอัคนีที่มีเม็ดแร่ขนาดใหญ่ปะปนกับเม็ดแร่ขนาดเล็ก ลักษณะพื้นฐานเม็ดแร่จะจับตัวกันแน่น (Interlocking) จะมีความพรุนต่ำ เนื้อหินจะสมานกันแน่นทั้งก้อน (Massive) ไม่พบรอยแตก แร่ในเนื้อหินจะไม่ค่อยพบกับการจัดเรียงตัว มีแร่เฟลด์สปาร์สูง และจะมีแร่เด่น คือ แร่เพลด์สปาทอยด์ โอลิวีน โครไมต์บางส่วนในเนื้อหินจะมีแก้วธรรมชาติปะปนอยู่บ้าง<br /><br /><br /><br /><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 168px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430340501685571634" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh6PCv3js06-FzgR8esXuAdQY55ucbkjsghk3zeFV3KBkSYy0_vmGfyAEJCFMZXhzKfZ5Bn8YdWR1ovj-ooKWytGE73yqD1ipNzPpQXVeFYuIs5S5GE3ooSzsBDs5yWj1YPUBzbYgaq7fq6/s320/%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B5.gif" /><br /><br /><span style="font-size:180%;">หินแปร (Metamorphic Rock)</span><br /><br />กระบวนการเกิด : (Metamorphic Process)เป็นหินที่เกิดจากสภาวะการแปรสภาพจากหินอื่น ๆ ซึ่งจะมีอิทธิพลจากอุณหภูมิ ความดัน และสารประกอบทางเคมีของแร่ การเปลี่ยนแปลงจะมีทั้งลักษณะโครงสร้างของหิน และส่วนประกอบของแร่ ซึ่งจะมีการปรับสภาพให้อยู่ในสภาวะสมดุล ภาวะเปลี่ยนแปลงทางกายภาพจะมีการบีบทำลายเม็ดแร่ (Crushing of Grain) มีการเกิดผลึกใหม่ (Recry Stallization) มีการยึดประสานของเม็ดแร่ (Interlocking of Grain) และการเพิ่มขนาดของเม็ดแร่ (Increasing of Grain Size)ลักษณะพื้นฐานในหินแปรบางชนิดจะมีแร่เรียงตัวแบบมีทิศทาง เป็นแนวยาวขนาน ลักษณะเป็นแผ่นโค้งงอ แต่ถ้าไม่มีการจัดเรียงตัว ก็จะจับประสานกันแน่นคล้ายกับหินอัคนี รูปร่างของเม็ดแร่จะเป็นวงรี หรือเป็นแผ่นเกล็ด จะมีการปรับสภาวะสมดุลของเนื้อหินให้เข้ากับความดันและอุณหภูมิที่กระทำ จะมีแร่การ์เนต เทรโมไลต์ ทัลก์ และเซอร์เพนทีน ซึ่งเป็นแร่เด่นที่พบในหินแปร </p><p><br /><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 230px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430340696830899234" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0IS6mHKwI_8V-uFGNhvQ4NGhiTGMiQ2rL37p8OHh1Co8e1YhRDsbJEyCxane9e7sNNYMzlr1aQNvrlecJZ5KicXYQPOLZxSh5ehi8tnACKza97mWJpnYrbbN6blue7pi3WOzXemRS0uFu/s320/%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A3.gif" /><br /><span style="font-size:180%;">หินตะกอน(Sedimentary Rock)</span><br /><br />กระบวนการเกิด : (Sedimentary Process)หินตะกอนเป็นหินที่มีมากถึง 75% ของหินบนพื้นผิวโลกจะเกิดจากอิทธิพลทางเคมีหรือทางกายภาพ ซึ่งทำให้ตะกอนที่เกิดจากการสลายตัวของหินใด ๆ ก็ได้ จะมีการทับถมและผ่านกระบวน ซึ่งจะทำให้แข็งอัดตัว โดยอุณหภูมิและความดัน จึงกลายเป็นหินตะกอนอยู่กับที่ แต่โดยส่วนมากแล้วมักจะถูกกระแสลม กระแสน้ำ หรือแรงโน้มถ่วงของโลก พัดพาไปสะสมในแหล่งอื่นแหล่งกำเนิดของตะกอนมาจากหลายทาง เช่นตะกอนแผ่นดิน (Terrigenous Sediment) ประกอบด้วยอนุภาคที่เกิดสึกกร่อนผุพังของหิน ตะกอนคอกลูเวียม (Collurium Sediment) เป็นตะกอนบนที่ลาดเอียง ตะกอนอนินทรียสาร (Organic Sediment) ประกอบด้วยอนุภาคของซากพืช ซากสัตว์ ตะกอนไพโรคลาสติ (Pyroclastic Sediment) เป็นตะกอนที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟแล้วเกิดการตกจม<br /><br /><br /><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 259px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430341144226493666" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCyES_24tZWGirCylZbwaa3ANu03C_jxJmc_IhhIBvzw-ZR701hjkemb6lQz2_z6qj7YPRCaxmnKMloX83gD9dqfytxk8CMJt_J_xQ0hpKJxwwyxkUOxXdVEb0mo8iVYiNh23Ez4l9KS-0/s320/%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9901.gif" /><br /><span style="font-size:180%;">ลักษณะพื้นฐาน<br /></span><br />มีลักษณะเป็นชั้น -แร่มีการลบเหลี่ยมมุมไปบ้าง และมีการคัดขนาดในหิน -เนื้อหินจะมีลักษณะของการถูกพัดพา หรือตกตะกอน -จะมีแร่ยิปซั่ม เฮไลต์ ซึ่งมาจากสารละลายที่เกิดจากการตกตะกอน -จะมีแร่ควอร์ตซ์ แคลไซต์ มาก -มีซากดึกดำบรรพ์ปะปนอยู่ -เป็นหินที่พบมากกว่าหินชนิดอื่น<br /><a href="http://www2.srp.ac.th/~kasron02/main_takorn.htm" target="_blank"></a>การศึกษาเรื่องหินได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 สาขาที่สำคัญ คือการศึกษาเชิงธรณีวิทยา เพื่อให้รู้ถึงลักษณะการเกิด ประวัติ ความเป็นมาของหินการศึกษาเชิงวิศวกรรม เพื่อให้รู้ถึงคุณสมบัติของหินเพื่อจะนำไปใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ โดยทั่วไปการจำแนกประเภทหินแบ่งตามได้ ดังนี้ - หินอัคนี (Igneous Rock) - หินตะกอน (Sedimentary Rock) - หินแปร (Metamorphic Rock)<br /><br /><br /><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 164px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5430341221871002210" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjodyRXMr3yS8pQs1MIPMCIzxqk1fv11sncmNMCJTITnweztYOGJsKTkSncojKQ_AOoloELefPG2OzqKG5hiWp5dm1gZJcaEfk7BWR2Hey5Q4ysWulaVWXZT0vueiGv-Oq_9UofP2kg8G6j/s320/%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9902.gif" /><br /><br />อ้างอิงจาก <a href="http://www2.srp.ac.th/~kasron02/tnvt.htm">http://www2.srp.ac.th/~kasron02/tnvt.htm</a><br /><br /><br /><br /><br /><a href="http://www2.srp.ac.th/~kasron02/main_pare.htm"></a></p>Unknownnoreply@blogger.com0